MuayChiya - ArwuutThai

...................................................................................
มวยไชยา - อาวุธไทย อีกลมหายใจ "ไท" ที่ยังคงอยู่
...................................................................................
m u a y c h a i y a - a r t . b l o g s p o t . c o m
...................................................................................

วันเสาร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2550

พาหุยุทธ์ ฯ - อาวุธไทย ฯ

พาหุยุทธ์ มวยไชยา และ อาวุธไทย พิชัยยุทธ์

คำปรารภ

...เมื่อผู้เขียนได้รับการทาบทามให้เขียนบทความเกี่ยวกับเรื่อง มวยไทยโบราณและมวยคาดเชือกไชยา ผู้เขียนรู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่จะเขียนถึงวิชาที่สูญไปจากวงการนับร้อยปี ทำให้ต้องไตร่ตรองอยู่หลายวัน ด้วยเหตุหลาย ๆ ประการ แต่เมื่อได้ทบทวนดูแล้ว ถ้าผู้เขียนจะเก็บเอาความรู้ที่ครูบาอาจารย์ได้พร่ำอบรมสั่งสอนอย่างอดทน เพื่อจะนำพาไปสัมปรายภพด้วยอย่างไร้ความหมาย ย่อมอกตัญญูต่อครูบาอาจารย์และชาติอย่างไม่น่าให้อภัย จึงปลงตก ถือเสียว่าเป็นการทำเพื่อถวายพระคุณของครู และสนองคุณแผ่นดินก่อนตาย

ข้อเขียนทั้งหลายและต่อ ๆ ไปในภายภาคหน้า (หากมีผู้สนใจติดตาม) ขอให้ทราบไว้ด้วยว่าผู้เขียนได้เขียนตามที่ผู้เขียนได้ศึกษาเล่าเรียนมาจากครูบาอาจารย์ ซึ่งอาจผิดแผกไปจากของคณาจารย์ของสำนักอื่น ๆ ก็อาจเป็นได้ และบางช่วงบางตอนอาจเป็นคำกล่าวคำพูดของครู ของอาจารย์ปู่ และบาจรีย์ทุกท่าน ที่ได้เคยเขียนเคยพูดและเคยฝากผลงานไว้เป็นเลิศแล้วเมื่ออดีตกาล อันเป็นการเชิดชูผลงานของท่าน มิได้อวดรู้ อวดภูมิ ตีตนเสมอครูบาอาจารย์ แต่อย่างใด เพราะความรู้ผู้เขียน เปรียบเหมือนแสงหิ่งห้อยที่ไม่อาจหาญเปรียบแสงสุริยะฉาย

ลูกหลานโปรดจำไว้

“เป็นครูท่าเดียว วันเดียว เดือนเดียว ปีเดียว...ถือเป็นครูตลอดชีวิต จงกตัญญูและตอบแทนดูแลท่านตามควร "

....................................................

ปฐมบท

...สิ่งมีชีวิตทุกสิ่งเกิดมาย่อมต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อการมีชีวิตอยู่รอด ไม่ว่าจะเป็นพืชหรือสัตว์ โดยเฉพาะสัตว์ประเสริฐที่เรียกตัวเองว่า มนุษย์ ต่างต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อชีวิตอยู่รอดนับแต่ยังไม่ปฏิสนธิเสียอีก สัตว์โลกย่อมมีวิธีการต่อสู้เฉพาะที่ร้ายกาจเหมาะกับตัวมันเอง เพื่อเอาตัวรอด เพื่อหาอาหาร สัตว์เดรัจฉานแสดงอาการต่อสู้โดยสัญชาติญาณ ส่วนเวไนยสัตว์ (สัตว์ที่สอนได้) หรือมนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์ประเสริฐ นับเป็นผู้ที่มีสมองและสติปัญญาสามารถที่พัฒนาได้อย่างไม่สิ้นสุด ย่อมมีการวิวัฒนาการและพัฒนาการการต่อสู้ที่มีสมรรถภาพอย่างไม่หยุดยั้ง

หากเรามีความเชื่อในทฤษฎีที่ว่ามนุษย์มีวิวัฒนาการมาจากวานร ตามประวัติมนุษยชาติ มนุษย์ย่อมมีการต่อสู้กันนับตั้งแต่เริ่มไต่ลงมาจากต้นไม้ เมื่อประมาณ ๑,๐๐๐,๐๐๐ กว่าปีมาแล้ว อีกทั้งสัญชาติญาณดิบนับแต่เป็นวานรย่อมยังคงหลงเหลือติดอยู่ในสายเลือดอยู่บ้างไม่มากก็น้อย มนุษย์สมัยดึกดำบรรพ์จึงต่อสู้กันไม่ต่างไปจากสัตว์เดรัจฉานมากนัก คือสู้กันตามสัญญาณชาติดิบ ๆ ที่มีมาตามธรรมชาติ โดยใช้อวัยวุธ (อวัยวะของร่างกายที่ใช้เป็นอาวุธในการต่อสู้) ในร่างกายทุกอย่างที่ธรรมชาติประทานมา ทำร้ายซึ่งกันและกัน “ปากกัด ตีนถีบ มือฉุด ข่วน ตะปบ แขนฟาด หมัดต่อย ทุบ ศอกถอง เข่ากระทุ้ง ก้นกระแทก แบกบ่า ทุ่มทับ จับหัก ควักนัยน์ตา ฯลฯ” หยิบฉวยได้สิ่งใดใกล้มือที่ใช้ทำร้ายคู่ต่อสู้ได้ ก็ใช้สิ่งนั้น เช่นกระดูกสัตว์ กิ่งไม้ ก้อนหิน กระบอง ลูกดอก หน้าไม้ กระสุน ซึ่งชนะก็แย่แพ้ก็เกือบตาย อันเป็นการใช้พละกำลังเข้าหักหาญกันโดยแท้ (ยังขาดศาสตร์และศิลป์เพราะยังไม่พัฒนา) มีอยู่อย่างเดียวก็คือเพื่อเอาตัวรอดเท่านั้น มนุษย์ในสมัยโบราณจึงต่อสู้เพื่อเหตุใหญ่ ๆ ๒ ประการคือ

๑. แย่งอาหาร และแดนหากิน
๒. เกิดการหึงหวงมนุษย์ที่ออกลูกได้

...การต่อสู้ในสมัยดึกดำบรรพ์ ขณะที่มนุษย์อยู่ถ้ำ อยู่โพรงไม้ มักเป็นการต่อสู้อย่างโดดเดี่ยว หรือเป็นเฉพาะครอบครัวเล็ก ๆ เพียงครอบครัวเดียวเท่านั้น แต่โดยแท้แล้วมนุษย์เป็นสัตว์ที่เกิดมาอย่างมีสัญชาติญาณแห่งความขลาดกลัว และสัญญาแห่งการอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มสังคม มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีความฉลาด มีปัญญา ความเจ็บปวด ความตาย ความสูญเสีย ความเสียใจ ความโศกเศร้า ทำให้มนุษย์ เกิดความคิดรู้จักคบค้าสามัคคีไปมาหาสู่กัน และรีรอกัน อันนับเป็นปฐมการณ์อย่างหนึ่งที่ทำให้มนุษย์รวมกันเป็นกลุ่มก้อน เป็นชุมชน จากกลุ่มเล็ก ๆ เป็นกลุ่มใหญ่ จนเป็นรัฐและเป็นประเทศชาติขึ้น การตัดสินปัญหาข้อพิพาทและการต่อสู้กันด้วยกำลังของมนุษย์จึงเริ่มเปลี่ยนไปเป็นถ้อยทีถ้อยอาศัยอนุโลม ปฏิโลมต่อกัน

ดูเหมือนจะเป็นการดีเมื่อมนุษย์สามารถรวมกันเป็นพวกได้ กรณีพิพาทกันเองดูน้อยลง และแก้ไขได้ตามกฎระเบียบของกลุ่มชนที่มีการตกลงร่วมกัน ความระแวงระวังแบบสัญชาติญาณป่าน้อยลง รู้สึกอบอุ่นขึ้น แต่การรวมกลุ่มของมนุษย์มิได้มีกลุ่มเดียว มิใช่มีเพียงชนเผ่าเดียว ความเห็นความคิดของแต่ละกลุ่มไม่เหมือนกัน ภาษาต่างกัน อุดมคติ อารมณ์ต่างกัน ความเชื่อต่างกัน มนุษย์ยิ่งเจริญขึ้นมนุษย์ยิ่งมีการขัดแย้งต่อสู้กันรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จากเดิมพิพาทกันเพื่อแย่งชิงอาหารแดนทำกิน แย่งมนุษย์ที่ออกลูกได้ ยังต่อสู้กันเพราะขอช้างเผือกไม่ได้ดังใจ ขอคืนหญิงงามไม่สำเร็จ มีหลายสาเหตุที่อาจพิพาทกันได้ทุกเมื่อ การต่อสู้อย่างโดดเดี่ยว กลายเป็นมหาสงครามระหว่างประเทศ

กำเนิดของพาหุยุทธ์มวยไทยโบราณ


...ตามประวัติศาสตร์ก่อนสมัยกรุงสุโขทัย ชนชาติไทย ถูกสันนิษฐานว่ามีอายุไร่เรี่ยกับความเจริญของชาวอียิปต์ บาบิโลเนีย และอัสสิเรีย ไทยเป็นชาติที่มีความเจริญมาก่อนจีน และก่อนชาวยุโรป มีการปกครองและมีระเบียบแบบแผนเป็นปึกแผ่น อยู่ ณ ดินแดนซึ่งเป็นประเทศจีนในปัจจุบันนี้ ชนชาติไทยเป็นชนชาติที่น่าสงสาร ก่อนพุทธศักราช ถูกรุกรบ จนต้องถอยร่น จากแดนทำกินอันอุดมสมบูรณ์ของ ๒ ฟาก ลุ่มแม่น้ำฮวงโห และยั่งจือ เรียกว่า อาณาจักรอ้ายลาว หรือ ไทยมุง หรือ ไทยเมือง ซึ่งเป็น มณฑลเสฉวน ฮูเป อันฮุย และเกียงซี ไทยต้องอพยพหลบหลีกความเป็นทาสมาทางตอนใต้เรื่อยมา โดยถือหลักไปตายเอาดาบหน้า ดีกว่าเป็นขี้ข้าของชาติอื่น

ด้วยสันดานเป็นไทย และนิสัยเป็นนักรบมาหลายชั่วอายุคน ด้วยรักสันติ รักอิสระไม่ยอมเป็นทาสใคร ต้องต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด เพื่อมาตุภูมิ เพื่อคนที่ตนรัก นับครั้งไม่ถ้วน เพื่อเป็นการไม่ประมาท บรรดาพฤธ์หรือพ่อเฒ่า ตามปัจจันท์ชนบท (ชายเขตแดนติดต่อแดนต่างประเทศ) ได้พยายามสร้างสมบรรดาชายหนุ่มของหมู่บ้านด้วยอุปเท่ห์ การเล่น “ออกแรง” เช่นการปล้ำ วิ่งวัว พายเรือแข่ง เสือข้ามห้วย จงอางหวงไข่ และไม้ลอย (การห้อยโหนตีลังกาในที่สูง) และเพื่อการป้องกันตัว พ่อเฒ่าทั้งหลายได้เพียรพยายามรวบรวมคิดค้นวิธีต่อสู้ติดต่อกันตลอดหลายชั่วคน จากบรรพบุรุษที่ผ่านการรบมานานนับพันปี จนสามารถกำหนดเป็นหลักเกณฑ์เฉพาะคนไทยด้วยเชิง “ชิงคม” และ “พันลำ” อันก่อให้เกิดความครั่นคร้ามแก่ศัตรูผู้รุกรานทั่วไป


อาจารย์เขตร์ ศรียาภัย (อาจารย์ปู่ของผู้เขียน) กล่าวไว้ว่า
" มวย หมายถึง การชกต่อยตามแต่ครูจะสอน หรือการต่อสู้เพื่อเอาตัวรอด”

มวยไทย หมายถึง... “ศิลปะศาสตร์ซึ่งบรรพบุรุษได้เพียรพยายามสืบทอดและพัฒนายกระดับวิธีต่อสู้ป้องกันตัวมอบให้เป็นมรดกแก่ลูกไทยนับเป็นพันปีมาแล้ว มวยไทยขนานแท้นั้นไม่มีชนชาติใดสามารถแสดงได้ดีเท่าคนไทย แต่ปัจจุบันนี้มวยไทยถูกดัดแปลงจนสิ้น หนักไปทางใช้พละกำลัง ขาดศิลปะ และประเพณีนิยม”
(ปรมาจารย์ เขตร์ ศรียาภัย)


“ครูแปรง”
มูลนิธิมวยไทยไชยา


นิตยสาร siam combat
เล่ม ๒ ธันวาคม ๒๐๐๓

วันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2550

ครูทอง...ที่ผมรู้จัก ๑.

...ปี ๒๕๒๕ ในช่วงภาคเรียนที่ ๒ เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นได้รู้จักกับ มวยคาดเชือก สายมวยไชยา ซึ่งมี ครูทอง เป็นครูผู้เผยแพร่วิชา ท่านมาร่วมงานประจำปีที่จัดขึ้นโดย ชมรมต่อสู้ป้องกันตัว มหาวิทยาลัยรามคำแหงปีนั้น ตามคำเชิญของรุ่นพี่ที่ชมรมฯ ท่านได้นำศิษย์สองคนคือ บังรุณ กับ บังฮา มาทำการสาธิตมวยคาดเชือกที่ลานพ่อขุน ฯ และในตอนท้าย ครูทอง เองยังได้ทำการสาธิตการป้องกันตัวมือเปล่ากับผู้เข้าชมอีกด้วย ซึ่งก่อนหน้านั้น พวกเรานักศึกษาชมรมการต่อสู้ฯ แผนก อาวุธไทย รามฯ ก็ได้รับรู้กิตติศักดิ์ของท่าน ผ่านคำชมของรุ่นพี่ ๆ หลายคนที่ได้ไปเรียนวิชามวยโบราณที่บ้านของ ครูทอง ที่คลองทับช้าง มาแล้ว เมื่อได้มาเห็นเองกับตาจึงเท่ากับเป็นการเปิดโลกทัศน์ใหม่ เกี่ยวกับวิชาป้องกันตัวแบบไทย ๆ ที่ยังคงความเป็นศิลปะอยู่ในทุกท่าไม้มวย ที่ครูทองท่านได้แสดงออกมาให้ชม มีชายคนหนึ่งเข้ามาถามท่านว่า


“ ถ้าผมเตะ ๓ ชั้น แบบเร็ว ๆ ละครับ ครูจะรับยังไง ”

ครูทอง ตอบว่า “ เป็นยังไง ครูไม่เข้าใจ ”

ชายคนนั้นก็พยายามอธิบายว่าจะเตะครูซ้อน ๆ กันหลาย ๆ ที ครูทองคล้ายจะไม่เข้าใจว่าเตะยังไง ผมนึกไปถึงท่าเตะแบบพระเอกในหนังจีนที่ได้ดู ๆ มา คือ เตะจากล่างขึ้นบน คิดว่าเขาต้องเตะครูแบบนี้แน่ ๆ ครูทอง ได้พูดตัดบทว่า

“ เอายังงี้ เธอเตะครูมาเลย แล้วกัน เอ้า ”

จากนั้นครูทองก็ถอยออกมาให้ได้ระยะเตะ ชายคนนั้นไม่ได้ตั้งท่าอะไร เขาหวดเท้าขวาเต็มแรงเข้าที่ข้อพับขาซ้ายของครูทอง แบบเตะเจาะยาง .... รวดเร็วพอ ๆ กัน ครูทองย่อตัวเล็กน้อยใช้เข่าซ้ายข้างที่ถูกเตะ เอียงทำมุมรับกระแทกเข้าที่หน้าแข้งชายคนนั้น ผลก็คือ เขาชักขากลับแล้วนั่งลงกุมหน้าแข้งด้วยความเจ็บอยู่พักหนึ่ง จึงลุกขึ้น ครูทอง ถามเขาว่า...

“ ถ้าสอบ ป. ๑ ไม่ผ่าน จะขึ้น ป.๒ ได้หรือเปล่า ”

ทำพูดของครูเพียงเท่านี้ แต่กลับอธิบายความได้ชัดเจน รวบรัด ถึงสภาวะรุกรับและหลักการสกัดในวิชามวยคาดเชือกสายไชยา…

(ที่เข้าใจว่าท่านไม่เข้าใจ ความจริงแล้วท่านทราบอยู่ก่อนแล้วว่าเป็นไปไม่ได้ ท่านจึงแสดงอาการสงสัยว่าจะทำได้ยังไง ต่างหาก ! )

...หลังจากนั้นพวกเราก็ต้องเจ็บตัวกันคนละนิด คนละหน่อย คนไหนสงสัยมาก ก็เจ็บบ่อยหน่อย คนที่ไม่สงสัยก็ยืนรับความรู้ พร้อม ๆ กับดูเพื่อนเจ็บเป็นที่เพลิดเพลิน ได้ทั้งวิชาความรู้ ได้ทั้งประสบการณ์ตรง จากครูทองกันถ้วนหน้า แล้วพวกผมก็เริ่มไปที่บ้านครูทองกันบ่อย ๆ ขึ้น เพื่อฝึกเรียนวิชามวยไชยากับครู


การไปบ้านครูเมื่อปีนั้น (๒๕๒๕) ไม่ง่ายเลยครับ ขึ้นรถสาย ๙๓ จากหน้ารามฯ ไปสุดสายที่หมู่บ้านนักกีฬา (ในยุคนั้นนับว่าไกลมาก ๆ ) ลงเดินตัดทุ่ง ทางยังเป็นดินแดง ๆ อยู่เลย ระยะทางสักเกือบกิโล ไปสุดถนนฝุ่นที่ คลองทับช้าง แล้วจึงตะโกนเรียกครู หรือคนผ่านมาทางนั้นให้บอกครูเอาเรือเล็กมารับ เป็นอย่างนี้อยู่สักเดือน พี่ขลุ่ยจะเป็นคนแรกที่ว่ายน้ำไปที่บ้านครู เอาเรือเล็กพายมารับพวกน้อง ๆ หลังจากนั้นมา เมื่อไปถึงท่าน้ำบ้านครู ก็จะต้องมีใครสักคนหนึ่งทั้งถูกเลือก หรือถูกกำหนดให้ไปเอาเรือ

(คลองทับช้างในปีนั้น ทั้งกว้างและสะอาด ปีน้ำมามากพวกเราก็ลงเล่นน้ำหลังจากฝึกเสร็จกันเป็นที่สนุกสนาน )

บ้านครูเป็นบ้านไม้ริมคลอง ครูเคยเล่าให้ฟังว่า ช่วงนั้นครูไม่สบายมาก ทั้งยังเป็นอัมพฤตเพิ่งจะหาย คุณหมอบอกให้ครูพักผ่อน และอยู่ในที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์ถ่ายเท ครูกับภรรยาจึงมาปักหลักอาศัยอยู่ที่นี้ โดยช่วยกันสร้างบ้านหลังเล็ก ๆ นี้ขึ้นเองบนที่ดินของญาติ ด้านหน้าบ้านจะมีลานดินผืนหนึ่งเล็ก ๆ ครูจะปักเสาไว้แขวนกระสอบทรายใบเก่าอยู่ลูกหนึ่ง พวกเราไม่เคยได้รับอนุญาตให้เตะต่อยกระสอบใบนี้เลย ครูจะให้พวกเราฝึกท่าบริหารเพื่อพาหุยุทธ์เป็นหลัก ครูพูดไว้ว่า

“ พวกเธอเรียนวิชากระบี่กระบองมา ขาแข้งแข็งแรง ทั้งยังพอเข้าใจในหลักย่างสามขุม ครูจะให้พวกเธอเรียนแบบโบราณอย่างที่ครูได้เรียนมา เอาไหม ”

“ แล้ว ถ้าครูยังไม่อนุญาตห้ามเตะต่อยกระสอบทราย เด็ดขาด



เมื่อพวกผมถามว่าทำไมครับ เพราะตามความเข้าใจแล้วการฝึกหัดมวย ก็ต้องเตะต่อยกระสอบทรายเป็นหลัก อย่างที่เห็น ๆ อยู่ดาษตา ครูทอง จึงสอนว่า

“ การฝึกท่าพื้นฐาน และท่าย่างสามขุม นั้นจะทำให้พวกเธอดี ไปเตะต่อยกระสอบอย่างเดียวก็ได้แต่แรง ไม่ได้จัดตัวจัดท่า ทำอย่างนั้นไม่พอหรอก ”

ครูทองยกเอาคำพูดของครูของท่าน จำไม่ได้ว่าเป็น อาจารย์กิมเส็ง หรือปรมาจารย์เขตร์ ท่านเคยพูดไว้ว่า

“ วัวมันขวิดคันนา ก็เพราะคันนาไม่สู้วัว ”

...เปรียบเปรยให้พวกเรารู้ว่า การชกต่อยกระสอบทรายนั้น ได้แรงกำลัง ความแข็งแกร่งดีอยู่หรอก แต่หากไม่ได้ฝึกพื้นฐานร่างกาย ฝึกท่าเท้าซึ่งมีอยู่มากมายแล้ว จะทำให้ก้าวหน้าช้า ได้ประโยชน์ก็คือได้สุขภาพแข็งแรงเพียงด้านเดียว นับแต่วันนั้นคณะของพวกเราจึงเป็นขาประจำ เรือนไม้หลังเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ค่อนไปทางท้ายคลองทับช้างเสมอมา.

(* ปัจจุบัน บ้านครูอยู่ติดกับทางด่วนมอเตอร์เวย สายทางออกจากพระราม ๙ – ชลบุรี ไปมาสะดวกสบาย ไม่ต้องพายเรืออีกแล้วเพราะมีสะพานปูนทอดข้ามคลอง ทั้งยังมีถนนปูนพาดผ่านตลอดแนวลำคลองอีกด้วย)



ภาพประกอบ ได้รับความเอื้อเฟื้อจาก น้องหญิง


.....................................................................................