MuayChiya - ArwuutThai

...................................................................................
มวยไชยา - อาวุธไทย อีกลมหายใจ "ไท" ที่ยังคงอยู่
...................................................................................
m u a y c h a i y a - a r t . b l o g s p o t . c o m
...................................................................................

วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ทุ่มทับจับหักในมวยคาดเชือก


....ข่าวความพ่ายแพ้ ของนักมวยไทย ที่เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลไปชกถึงดินแดนแห่งมังกร จีนแผ่นดินใหญ่ นั้นอาจทำให้บรรดาเซียนมวยในไทยหลายๆคนถึงกับกระเป๋าฉีก ส่วนคนไทยอีกหลายหมื่นหลายแสนคนคงต้องผิดหวัง จนอดตั้งข้อสงสัยไปต่างๆนานา ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็น ในแง่ มวยไทยไร้ศิลปะแล้วหรือ, กติกาทำให้มวยไทยเสียเปรียบหรือไม่, และที่หนักไปกว่านั้นก็คือ มีการพนันเข้ามาเกี่ยวข้องหรือเปล่า การที่ทางผู้จัดประกาศว่าจะนำเอาศิลปะมวยไทย ไปเผยแพร่ให้คนจีนได้รู้จักถึงกับจะนำไปเปิดค่ายมวยไทยสอนในจีน แต่ผลการชก ที่ผ่านมา ทีมนักมวยไทยพ่ายแพ้ อย่างน่ากังขา แล้วก็ยังไม่สามารถแก้ทางมวยถีบมวยทุ่มของปรปักษ์ได้เลย นักมวยจีนก็อาจหาญ ถึงกับไม่กลัวการเตะที่ได้ชื่อว่า รุนแรง หนักหน่วงของมวยไทยที่ทั่วโลกต่างยอมรับ โดยตรงเข้าก้มลงกอดรัด กระชากขาให้ฝ่ายไทยล้มลงไป เพื่อเรียกเก็บคะแนนได้ทุกครั้ง ความที่กีฬามวยปล้ำของชนพื้นเมือง ชาวมงโกล ได้รับความนิยม จึงทำให้นักมวยจีน มีความถนัดในการปล้ำกอดรัด กดด้วยเรียวแรง มากกว่าการต่อสู้ ชิงคมแลกอวัยวุธหมัดเท้าเข่าศอกอย่างมวยไทย

หากจะกล่าวถึงกติกา ก็คงเหมือนกติกามวยไทยทั่วไป เพียงแต่เพิ่มการทุ่มเข้ามา ( ซึ่งก็น่าจะมีการปรับปรุงกติกามวยไทย ยอมรับการทุ่มได้แล้ว เพราะกีฬาการต่อสู้ในหลายๆประเภทรอบๆบ้านเรานั้นมีการทุ่มการจับหักฝึกกันอยู่แล้ว หากมวยไทยละเลยไปก็จะเป็นการเสียเปรียบ ทั้งที่หลักการเหล่านี้มีอยู่แล้วในมวยไทยโบราณ ) แต่ก็ยังอนุญาตให้ใช้ ศอกเข่าได้ถึงจะมีเครื่องป้องกัน และการใช้จะไม่ได้คะแนนก็ตาม แต่ดูๆไปแล้วก็ไม่น่าจะเสียเปรียบกันมากนัก เพราะฝ่ายนักมวยจีน ใช้ศอกเข่าไม่ค่อยเป็น จึงเน้น ถีบเตะ ทุ่ม ฝ่ายนักมวยไทย ก็ใช้อวัยวุธได้ครบทุกอย่าง การปล้ำการทุ่มในมวยเวที ก็มีให้เห็นอยู่บ้าง ศอกเข่า ที่ใช้ แม้ไม่ได้คะแนน แต่ก็เป็นที่หวั่นเกรงของนักมวยจีน อยู่ไม่ใช่น้อย ทั้งยังเป็นไม้สั้น ค่อยสกัดการเข้าประชิดติดตัวได้ดี ควรจะใช้ในระยะที่นักมวยจีนเข้ากอดรัด ให้ปรปักษ์ถอยห่างให้อยู่ในระยะที่จะ ออกอวัยวุธยาวอย่าง ต่อย เตะ ถีบ ยัน ได้ถนัด การกอดรัดและทุ่มอย่างที่นักมวยจีนกระทำนั้น ไม่ใช่ไม่มีทางแก้.....



มีเรื่องเล่าถึงมวยคาดเชือกใน ยุคสมัย ร.๖ ณ.สนามมวยสวนกุหลาบ พ.ศ.๒๔๖๓-๒๔๖๕ มีการจัดตีมวยเพื่อหาเงินซื้อปืน เข้าสนับสนุนกิจการของ กองเสือป่า โดยมี พระยานนทิเสนสุรินทรภัคดี (แม็ก เศียรเสวี)แม่กองเสือป่า เป็นผู้จัดการแข่งขันขึ้น ที่บริเวนสนามฟุตบอลโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย โดยให้สมุหเทศาภิบาลและข้าหลวงทั่วประเทศ จัดหา นักมวยคาดเชือกที่มีฝีมือดี จากหัวเมืองต่างๆ ส่งเข้ามาในพระนคร มวยคู่หนึ่งที่เป็นมวยประวัติศาสตร์ ก็คือ คู่ของ นายยัง หาญทะเล กับ จี๊ฉ่าง (จีนฉ่าง) ซึ่งเป็นมวยไทยชกมวยกังฟู ที่ถือว่าเป็นคู่แรกในไทยที่ได้รับการกล่าวถึงมากในยุคนั้น

นายยัง หาญทะเล เป็นนักมวยโคราช (เมืองมวย)เข้าพระนครโดยพักอยู่ที่ วังเปรมประชากร ในอุปการะของ เสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ศิษย์เอกของ หลวงพ่อสุก (พระครูวิมลคุณากร) แห่งวัดมะขามเฒ่า ส่วนทางฝ่าย จี๊ฉ่าง เป็นนักมวยสั่งตรงจากเกาะฮ่องกง ในการสนับสนุนของ สโมสรสามัคคีจีนสยาม โดย นายเค็งเหลียน สีบุญเรือง และนายฮุน กิมฮวด จัดส่งเข้าชก (บ้างก็ว่า จี๊ฉ่าง เป็นชาวกวางตุ้ง มาเป็นอาจารย์ใหญ่สอนมวยจีน ย่านสำเพ็ง ) การชกในครั้งนั้น ฝ่ายจี๊ฉ่าง ซึ่งถือว่ามี มือที่แข็งแกร่งทรงพลัง ถนัดจับหักกระดูกหรือแทงด้วยนิ้ว เรียกกันว่า เลียะพะ สามารถแทงไม้หนา๒นิ้วให้ทะลุได้ เมื่อนักมวยไทยไหว้ครูเสร็จ จี๊ฉ่างจึงไม่รั้งรอที่จะรุก ทะลวงเข้าชกต่อย คว้าจับเอาด้วยกำลังก่อน ฝ่ายนายยัง หาญทะเลได้แต่ถอยเอาเชิง พลิกเหลี่ยมซ้ายขวาหลบ พร้อมกับใช้ไม้กล "หนุมานควานสมุทร" ซึ่งเข้าใจว่า บรมครูเสด็จในกรมฯ ท่านได้ฝึกสอนมาเป็นพิเศษ แทนท่าครูที่มวยโคราชนิยมใช้กัน โดยใช้ท่อนแขนไขว้ แกว่งสลับไปมาระหว่างอก ป้องกันกระโจนจับหรือแทงด้วยนิ้วของปรปักษ์ จี๊ฉ่างตามติด ด้วยกำปั้นบ้าง กงเล็บบ้าง นายยังได้แต่ กระหยดถอย และ สลับเหลี่ยมหลอก เบี่ยงตัวซ้ายขวา ตีตอบด้วยหมัดเหวี่ยงควายบ้างเตะฉากตัวออกบ้าง ตามกลมวย หนีเอาชัย เมื่อเขาแรง เราอ่อน ( มิใช่จะเข้าแลกให้ถูกชกโดยไม่จำเป็น ) ทันใดนั้นเอง จี๊ฉ่างก็ปล่อยกำปั้น หมายตรงเข้าที่ ลานหัว(กระหม่อม) ของนายยัง ไม่มีใครคาด นายยัง ย่อตัวลงต่ำ หลบกำปั้น แล้วกลับกระโจนขึ้น อัด เข่าโทน(เข่าตรง) เข้ากลางอกมังกรจีน จนหงายหลัง ก้นกระแทกพื้นเวที ยังไม่ทันที่นายยังจะง้างแข้งตาม กรรมการก็เข้านับ และเสียงกลองก็ดัง หมดยกเสียก่อน


เริ่มยกสอง นายยังย่ามใจบุกเข้าหลอกขวา แล้วพลิกเหลี่ยมเตะซ้ายเข้าชายโครง ตามด้วยหมัดตรงซ้ายขวา โดนเข้าร่างจี๊ฉ่างทั้งทียังเอนเอียงอยู่ แต่ด้วยกำลังภายในหรืออย่างไรไม่ทราบ มังกรจี๊ฉ่าง ปิดป้องพร้อมกับเสือกหมัดหงายเข้าใส่หน้านายยัง ทั้งๆที่ปิดอยู่แต่นายยังก็ถึงกับกระเด็นไปพิงเชือกและตามด้วยพายุกำปั้นทั้งสับทั้งทุบโดยไม่ให้ตั้งตัว นายยังได้แต่พลิกตัวล้มลุกคลุกคลานหลบ จนตกเวทีแต่ด้วยความคล่องตัวนายยังรีบปีนเชือกขึ้นมายืนสามขุมบนเวทีได้ก็กระโจนเข้าหาคู่ต่อสู้ จี๊ฉ่างที่รอท่าอยู่แล้วจึงปล่อยหมัดเสยออกเต็มแรงจีน ถูกนายยังถึงกับเข่าทรุด แต่ก็แก้สถานการณ์ได้ด้วยการเหวี่ยงแข้งซ้ายขวาทั้งบนล่างตัดขาตัดลำตัว จนจี๊ฉ่างถึงกับถอย เมื่อได้จังหวะนายยังก็เหวี่ยงควายเข้าขากรรไกรจนปรปักษ์หัวทิ่มปักเวที แม้จะมีธาตุทรหดและเก่งกาจแต่จี๊ฉ่างก็ถูกนายยังชกล้มลงไปอีกสองครั้งก่อนจะหมดยกสอง

ครั้นยกที่สาม นายยังพยายามเข้า ตีวงใน ทั้งคู่ผลัดกันรุกรับติดพัน จนเมื่อแยกจึงได้เห็นว่าที่หัวของจี๊ฉ่างมีเลือดไหลออกมา นายยังย่างสามขุมเข้าหา ทำทีง้างหมัดขวา พอจี๊ฉ่างหลงกลปัด จึงถูกแข้งขวาของนายยังเหวี่ยงลำตัว จนใกล้หมดยก มังกรจีนก็อาบได้ด้วยเลือดจากหัวถึงหน้าอก นายยังกำลังห้าวเหมือนไฟได้ฟืน ผลักปรปักษ์ออกในระยะแล้วพลิกแข้งเต็มแรงเข้าใต้รักแร้ด้านหัวใจ จี๊ฉ่างถึงสะดุ้งรีบคว้าขานายยังได้ดึงเข้าหาตัว หมายจะควักหักกระดูกไหปลาร้า ด้วยไม้ตายฝ่ายจีน นายยังรีกกระชากขากลับสุดแรง ทำให้ฝ่ายตรงข้ามคะมำหน้าตาม คู้กอดเข่านายยังไว้ โดยไม่รอช้า นายยังระดม หมัดเหวี่ยงควาย เข้าที่กกหูจี๊ฉ่างอย่างจักรผัน จนหูซ้ายของจี๊ฉ่างมีเลือดซึมไหลออกมา ผู้ตัดสินเข้าแยก จี๊ฉ่าง แม้จะยืนด้วยอาการอ่อนระโหยโรยแรง แต่กลับพุ่งหมัดเข้าฉกรวดเร็ว นายยังฉากหลบ ในจังหวะพริบตาที่มังกรไฟ เบือนหน้าบ้วนเลือด หมัดขวาของนายยังซึ่งง้างมาแต่ข้างหลังก็หวืดเข้าที่โหนกแก้มจนจี๊ฉ่างผงะถลาล้ม เป็นช่วงที่นายยังพลิกเหลี่ยมมวยตวัดตีนซ้ายหวดเข้าเต็มหน้า จนจี๊ฉ่างจอมทรหด กางมือกลิ้งลงพื้น กรรมการโดดเข้านับถึง๑๐ จี๊ฉ่างพยายามลุกขึ้น เลือดเต็มหน้าแล้วกลับเอียงซ้ายพับลงพื้นเวทีอีกครั้ง มังกรแดงแห่งฮ่องกง ต้องพ่ายแพ้แก่ ยัง หาญทะเล เสือร้ายจากที่ราบสูง ยังไม่ทันครบ๑๑ยก นั่นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงเมื่อ ๘๑ ปีมาแล้ว แต่หากมองในแง่ พาหุยุทธศิลป์วิทยาการ แล้วจะเห็นว่า ในการชกมวยคู่สุดยอดนี้ จะมีทั้งชั้นเชิง ลีลา กลรับรุก กลแก้ทางมวย ที่ถูกใช้ออกมาด้วยร่างกายและสติปัญญาบวกกับศิลปะการต่อสู้อันช่ำชอง ( คัดดัดแปลงจาก " ปริทัศน์มวยไทย " โดย ปรมาจารย์ เขตร์ ศรียาภัย )



ทุ่ม ทับ จับ หัก ในมวยคาดเชือกนั้นเป็นกลมวยชั้นสูง ที่ผู้ฝึกจะต้องเรียนรู้พื้นฐาน การบริหารร่างกายเพื่อพาหุยุทธ พร้อมฝึกฝน ท่าย่างสามขุมตามแบบของแต่ละครู เรียก " ท่าครู " รวมทั้ง แม่ไม้ ่ต่างๆเช่น การออกอาวุธ ป้องปัดปิดเปิด ป้องกัน ตอบโต้ ให้เชี่ยวชาญดีแล้ว จึงจะสามารถแตก แม่ไม้กล ลูกไม้ กลรับ กลรุก ล่อหลอก หลบหลีก ทั้งยังต้องฝึกซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อให้ใช้ออกไปจึงจะเกิดความคม เด็ดขาด รุนแรง ท่วงท่าลีลางดงาม เข้มแข็ง ดังใจ

เช่น ท่าครูมวยไชยา (ท่าย่างสามขุมคุมแดนยักษ์) นั้นได้ชื่อว่ามีความรัดกุม เฉียบคม จนสามารถชนะการแข่งขันหน้าพระที่นั่ง สมัย ร.๕ เมื่อคราวจัดให้มีงาน ณ.ทุ่งพระเมรุ ป้อมเผด็จดัสกร กรุงเทพฯ คือ นายปล่อง จำนงทอง ที่สามารถใช้ " ท่าเสือลากหาง " โจนเข้าทุ่มทับจับหักปรปักษ์ จนมีชัย ได้รับการแต่ตั้งให้เป็น " หมื่นมวยมีชื่อ " ท่าที่ใช้จับทุ่มรับการจู่โจมด้วย เตะ ถีบ เข่า อย่าง " ถอนยวง " นั้นสามารถทุ่มโยนปรปักษ์ออกไป หรือ จับกดหัวให้ปักพื้นแล้วทับด้วยก้นหรือเข่าได้ หากเป็นการรุกด้วย หมัด นั้นให้แก้ด้วย " ขุนยักษ์พานาง " หรือ " ขุนยักษ์จับลิง " ศอก แก้ด้วย " พระรามหักศร " และยังมีท่าอื่นๆอีกมากที่ครูบาอาจารย์แต่โบราณท่านมิได้กำหนดชื่อเอาไว้ ทั้งหมดนี้ผู้ใช้จำต้องรู้เคล็ด ป้องปัดปิดเปิด และ กลประกบประกับจับรั้ง เป็่นท่าร่วมเพื่อเข้าจับหักด้วยมือหรือ เกี้ยวกวัดด้วยท่อนแขน ฯลฯ

หลักการทุ่มทับจับหักแต่โบราณมีอยู่และใช้ได้จริง หากแต่จะขอกล่าวโดยสังเขป เพื่อยืนยันถึง ภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไทย ที่สร้างสรรค์ศิลปะการต่อสู้ เพื่อปกป้องบ้านเมืองในยามศึกสงคราม หากว่าอนุชนรุ่นหลังจะใส่ใจ หันกลับมา ส่งเสริม ศึกษาวิทยาการโบราณเอาไว้บ้างละก็ นักมวยไทยก็คงจะยืนชูมืออย่างภาคภูมิใจบนสังเวียนผืนผ้า ไม่ถูกรัดถูกทุ่มจนเกือบตกเวที อีกเป็นแน่ และเหล่าเทนเนอร์ก็คงไม่ถึงกับต้องระดมสมองกันคิดแก้ท่าถีบของนักมวยจีน โดยละเลยที่จะถามครูผู้เฒ่าที่นั่งเฝ้าทอดถอนใจอยู่ข้างหลังปล่อยให้ภูมิความรู้ความสามารถที่ท่านได้สั่งสมมาจากประสบการณ์ จากครูเก่า รุ่นต่อรุ่น กลับต้องสูญค่าไป ในสายตาคนรุ่นใหม่

ชัยชนะของ ครูยัง หาญทะเล กับคุณค่าแห่งศาตร์และศิลป์ในมวยหมัดพันด้ายดิบ คงจะเป็นดังหนึ่ง ภาพลายไทยลอกหลุดในโบสถ์เก่า รอวันที่จะลบเลือนหาย หรือได้รับการบูรณะซ่อมแซม ให้กลับมาอวดความงดงาม พร้อมทรงคุณค่า เพื่ออนุชนรุ่นต่อไปจักได้ภาคภูมิใจ ในความเป็น "ไท" แห่ง "สยามประเทศ" อีกครั้ง.